วิธีส่งของไปต่างประเทศช่างเทศกาลสำคัญ ให้ผู้รับประทับใจและทันเวลา
บทความโดย ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย
นับถอยหลังเตรียมเข้าสู่
1) สต๊อกสินค้าในช่วงเวลา Celebration
วาเลนไทน์คืออีกหนึ่งช่วงเวลาที่ไม่ว่าใครก็อยากสร้างความทรงจำดีๆ กับคนพิเศษ และเอาใจใส่ด้วยการให้ของขวัญแทนความรู้สึกดีๆ จากผลสำรวจ National Retail Federation (NRF) พบว่าในปี 2018 ผู้บริโภคชาวอเมริกาจำนวน 7,277 คน วางแผนซื้อสินค้าให้คู่สมรสเป็นอันดับแรก (ประมาณ 2,832.05 บาท/คน) ตามด้วยครอบครัว (ประมาณ 804.93 บาท/คน) ครูและเพื่อนร่วมชั้น (ประมาณ 231.07 บาท/คน) เพื่อน (ประมาณ 228.84 บาท/คน) ตามลำดับ[2] เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั้งในแถบยุโรปและเอเชียที่ตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เช่นกัน ดังนั้นผู้ค้าควรวางแผนรองรับออเดอร์และเริ่มสต๊อกสินค้าก่อนจนถึงช่วงเทศกาลเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ โดยผู้ค้าสามารถประเมินได้จากอัตราการสั่งซื้อในช่วงปกติอย่างน้อย 6 เดือน บวกกับการกระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญหรือโปรโมชั่น จะช่วยให้สินค้าออกเร็วและไม่มีปัญหาเรื่องการค้างสต๊อก
2) ใส่ใจในขั้นตอนการแพ็คสินค้าและการจัดส่งออกไปต่างประเทศ
เมื่อมีปริมาณคำสั่งซื้อมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องมากพอที่จะรองรับการดูแลทุกออเดอร์ให้ได้คุณภาพตั้งแต่การรับออเดอร์ จนถึงขั้นตอนการห่อพัสดุเพื่อจัดส่งออกไปต่างประเทศ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆตั้งแต่การบรรจุสินค้าแต่ละชิ้นด้วยพลาสติกหุ้มกันกระแทกหรือคั่นด้วยโฟมกันกระแทกซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นจะต้องมีวัสดุกันกระแทกอยู่ทุกด้านอย่างน้อยสองนิ้ว การติดฉลากที่อยู่ภายในกล่องบรรจุเพื่อสำรองข้อมูลติดต่อกรณีฉลากด้านนอกได้รับความเสียหาย รวมถึงข้อควรระวังในการส่งสินค้าอันตรายไปต่างประเทศโดยไม่ได้ตั้งใจ สินค้าหลายอย่างถูกจำแนกว่าเป็นสินค้าอันตรายสำหรับการขนส่งทางอากาศ เช่น ของเล่นที่มีแบตเตอรี่ เครื่องประดับตกแต่งที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์และใช้แบตเตอรี่ลิเธียม น้ำหอม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ยาทาเล็บ ไฟแช็ค และกระป๋องสเปรย์ ฯลฯ รวมถึงตรวจสอบการผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อยและแข็งแรง ก็สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับปลายทางให้อยากสั่งซื้อสินค้าในครั้งถัดไป
3) วางตารางจัดส่งสินค้าให้แน่นอนและแม่นยำ
ความประทับใจอีกประการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้รับคือ เมื่อผู้ค้าสามารถแจ้งสถานะพัสดุให้กับลูกค้าได้ทุกเมื่อ เช่น ระบุวันและสถานที่ที่พัสดุจะถึงปลายทางอย่างชัดเจนได้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนการสั่งซื้อ ระหว่างการจัดส่ง และเมื่อถึงปลายทางแล้ว
4) จัดโปรโมชั่น “ฟรีค่าส่ง” กระตุ้นยอดขาย
ค่าจัดส่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ในช่วงเทศกาลเติมความหวานวันแห่งความรักแบบนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้รับบริการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อสินค้าตามยอดขั้นต่ำที่กำหนด หลายคนอาจมองหาบริการจัดส่งฟรีสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าคืน ในทางตรงกันข้ามการแจ้งค่าจัดส่งอาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อสินค้า ดังนั้นผู้ขายควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างแคมเปญการจัดส่งฟรี เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อ ทั้งนี้ต้องระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวันที่จัดส่ง ประมาณการณ์ช่วงที่สินค้าจะไปถึงมือผู้รับ และวันที่ตัดออเดอร์รับส่งสินค้าในหน้าเทศกาล
5) ใช้กลยุทธ์ “รับคืนสินค้าฟรี” ซื้อใจลูกค้า
คำว่า “ฟรี” มีพลังในโลกอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันกับการรับคืนสินค้าซึ่งผู้บริโภคคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่เป็นมิตรในฤดูกาลพิเศษ การรับคืนสินค้าฟรีในช่วงเทศกาลส่งความสุขจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจในด้านการรักษาฐานลูกค้าเก่าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ๆ จากผลการศึกษาหลายฉบับระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า ลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าบ่อยครั้งมากขึ้นหากรู้สึกมั่นใจในกระบวนการรับคืนสินค้า ดังนั้นผู้ค้าจำเป็นจะต้องรับรู้นโยบายการส่งคืนสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศของแต่ละประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อลูกค้า เช่น กฏระเบียบของสหภาพยุโรปกำหนดว่าผู้ค้าปลีกออนไลน์ต้องอนุญาตให้ลูกค้าส่งคืนสินค้าที่ไม่ต้องการภายใน 14 วัน
6) เลือกใช้ผู้ให้บริการที่มีความชำนาญด้านลอจิสติกส์
หนึ่งในวิธีการที่ใช้ในการส่งออกไปต่างประเทศมากที่สุดคือ การทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านลอจิสติกส์ที่มีประสบการณ์และมีความเข้าใจในการวางแผนจัดส่งสินค้าจำนวนมาก เพราะจะได้รับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีลูกค้าอยู่ทั่วโลก ยิ่งต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการจัดส่งออกไปต่างประเทศของคุณสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นได้หรือไม่ รวมถึงความพร้อมที่ต้องรับกับการเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ซึ่งทีมงานฝ่ายลอจิสติกส์ของคุณจะต้องสามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และดำเนินการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนได้อย่างทันท่วงที